ข้อแนะนำของยูเนสโก ค.ศ. 2015 เรื่อง "การคุ้มครองและส่งเสริมพิพิธภัณฑ์และคอลเลกชัน ความหลากหลาย และบทบาทในสังคม" ได้กำหนดกรอบหลักการและแนวทางสำหรับการวางนโยบายด้านพิพิธภัณฑ์ พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการอนุรักษ์และสนับสนุนพิพิธภัณฑ์และคอลเลกชัน เอกสารฉบับนี้ทำหน้าที่เป็นแผนแม่บทสำหรับการพัฒนาและดำเนินการตามแนวคิดใหม่ที่เป็นนวัตกรรมและเปิดกว้างสำหรับพิพิธภัณฑ์ในศตวรรษที่ 21 นอกจากนี้ ยังนำเสนอแนวทางปฏิบัติแก่คนทำงานพิพิธภัณฑ์และผู้กำหนดนโยบาย เพื่อให้สามารถพัฒนาศักยภาพของพิพิธภัณฑ์ให้เป็นพื้นที่สำหรับการถ่ายทอดวัฒนธรรม การสนทนาระหว่างวัฒนธรรม การเรียนรู้ การอภิปราย และการฝึกอบรม
การนำเสนอนี้จะอภิปรายถึงความท้าทายและโอกาสของเทคโนโลยีดิจิทัลในบริบทของพิพิธภัณฑ์ในช่วงสถานการณ์วิกฤต โดยข้อแนะนำของยูเนสโก ค.ศ. 2015 ได้ตระหนักถึงศักยภาพของเครื่องมือดิจิทัลในการสร้างโอกาสให้กับพิพิธภัณฑ์ ทั้งในแง่การอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและการแบ่งปันและเผยแพร่องค์ความรู้ ขณะเดียวกันก็เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสนับสนุนให้พิพิธภัณฑ์สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อปรับปรุงพัฒนาภารกิจหลักของตน ทั้งนี้ ยูเนสโกได้ดำเนินการสำรวจในระดับโลกสองครั้งใน ค.ศ. 2020 และ 2021 เกี่ยวกับสถานะของพิพิธภัณฑ์ในช่วงวิกฤตสุขภาพระดับโลก รายงานดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลในบริบทของวิกฤตสุขภาพและมาตรการล็อกดาวน์ ทั้งนี้ แม้ว่าพิพิธภัณฑ์บางแห่งสามารถนำเครื่องมือดิจิทัลมาปรับใช้ได้ แต่รายงานก็ระบุว่าความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสารสนเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ที่ยังไม่มีการแปลงคอลเลกชันให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลและการจัดการศึกษาออนไลน์แทบจะเป็นไปไม่ได้ ถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการทำหน้าที่ด้านการศึกษาในช่วงที่พิพิธภัณฑ์ต้องปิดให้บริการ
นอกจากนี้ การนำเสนอนี้จะยกกรณีศึกษา 2 กรณี เพื่อแสดงให้เห็นถึงวิธีการที่ ยูเนสโก บูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับโครงการพิพิธภัณฑ์เพื่อเข้าถึงและสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ชมกลุ่มใหม่ กรณีศึกษาแรกจะกล่าวถึงโครงการ "พิพิธภัณฑ์เสมือนจริงของวัตถุทางวัฒนธรรมที่ถูกโจรกรรม" ซึ่งมีเป้าหมายในการออกแบบพิพิธภัณฑ์เสมือนจริงแบบสร้างความรู้สึกร่วมแห่งแรกในระดับโลกที่จัดแสดงวัตถุทางวัฒนธรรมที่ถูกโจรกรรม โครงการนี้มุ่งสร้างความตระหนักให้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับผลกระทบของการค้าสมบัติทางวัฒนธรรมที่ผิดกฎหมาย และมีส่วนช่วยในการติดตามคืนวัตถุที่ถูกโจรกรรม กรณีศึกษาที่สองนำเสนอโครงการ "มรดกร่วม: พิพิธภัณฑ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ซึ่งจัดนิทรรศการดิจิทัลนำเสนอคอลเลกชันจากพิพิธภัณฑ์ 10 แห่งใน 5 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของความเชื่อมโยงและสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมอันลึกซึ้งของภูมิภาค อันจะช่วยให้ภาคประชาสังคม ซึ่งรวมถึงเยาวชน เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น นำไปสู่การสร้างสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เห็นคุณค่าของความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการสนทนาระหว่างวัฒนธรรม